แทรกคิวเบนความสนใจประชาชน กลบความเข้มข้นซีรีส์การเมือง เกมชิงอำนาจสูงสุดในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ผงาดนั่งเก้าอี้ ผบ.ตร.คนที่ 14 ต่อจาก พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ที่จะเกษียณอายุราชการวันที่ 30 ก.ย.นี้
ตามความเห็นชอบของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่มี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เป็นประธาน ก.ตร.
เผือกร้อนที่เรื้อรังมาตั้งแต่รัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่เป็น “นายกฯ นิด” มารับช่วงปิดจ๊อบแต่งตั้งผู้นำตำรวจคนใหม่แทน
เคลียร์ลูกติดพันเกมอำนาจที่ระดับบิ๊กตำรวจห้ำหั่นกันเองให้กลับมาเข้ารูปเข้ารอย สยบคลื่นใต้น้ำใน ตร.ให้หยุดกระเพื่อมเร็วที่สุด
ตามความไม่ปกติที่เห็นกันต่อเนื่องมาตั้งแต่ “คดีกำนันนก” จนมาถึงปฏิบัติการสายฟ้าแลบ “ตำรวจจับตำรวจ” หน่วยคอมมานโดบุกค้นบ้าน “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ตัวเต็งชิงเก้าอี้ ผบ.ตร. ที่เกิดขึ้นก่อนวันเลือก ผบ.ตร.เพียงไม่กี่วัน
เบื้องหลังแต่ละเหตุการณ์ถูกเชื่อมโยงเป็นเกมแทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจของขั้วตำรวจด้วยกัน เพื่อเลื่อยเก้าอี้และทุบหม้อข้าวฝ่ายตรงข้าม แย่งอำนาจความเป็นนัมเบอร์วันในยุทธจักรสีกากี
เขย่าภาพลักษณ์ตำรวจไทย การเมืองในวงการสีกากีก็เดือดไม่แพ้การเมืองระดับชาติ
ระดับที่ “นายกฯเศรษฐา” เองก็อาจถูกดึงไปเปื้อนโคลน เสี่ยงถูกฟ้องตามมาในการแต่งตั้งหัวขบวนผู้พิทักษ์สันติราษฎร์รอบล่าสุดที่ไม่ยึดหลักอาวุโส ฟาดงวงฟาดงาแฉลบไปถึงการกางปีกปกป้อง ไม่สังคายนาวงการตำรวจ เพราะเป็นองค์กรมีเกียรติ ขอให้แก้ไขปัญหาเป็นเรื่องๆไป
ช็อตประนีประนอมของผู้นำมือใหม่ ให้เกียรติภาพลักษณ์ตำรวจ แต่ดันค้านสายตาประชาชน เลยโดนถล่มยับไม่กล้าแตะต้องการปฏิรูปตำรวจ-ทหาร
โจทย์ใหญ่ต้นทางกระบวนการยุติธรรม ที่แม้แต่ “เศรษฐา” ก็ลังเล ไม่กล้าเข้าไปผ่าตัดใหญ่
อีกคิวที่ “นายกฯเศรษฐา” เจ็บตัวเพิ่มจากช็อตความเข้าใจคลาดเคลื่อน เรื่องแต่งตั้ง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาภายหลังพ้นโทษ กว่าจะเคลียร์กันรู้เรื่องก็ต้องเหนื่อยชี้แจงปากเปียกปากแฉะ
หมดเรื่องเก่า ก็มีเรื่องใหม่เข้ามาผสมปนเป ขยี้กันสนุกปากไม่รู้จบ
สัญญาณล่อเป้า “นายกฯนิด” มาทุกทิศทาง ในช่วงที่กำลังเหยียบคันเร่งสร้างผลงาน จะขยับหรือพูดอะไรออกไป ก็มักถูกเปิดประเด็นขยี้ให้เกิดความรู้สึกติดลบ หวังขยายผลให้จุดติดเป็นไฟลามทุ่ง
จำเป็นต้องยกการ์ดสูงตั้งหลัก สงบปากสงบคำ ไม่พูดอะไร หากยังไม่มีข้อมูลชัดเจน เลี่ยงถูกเปิดช่องโจมตีจากฝั่งตรงข้าม จนเกิดภาวะเครื่องรวน
ต้องเร่งสร้างผลงานแก้เกม ชูจุดขายด้านเศรษฐกิจ หาช่องทางนำเงินเข้าประเทศ ล่าสุดบินไปกัมพูชา หารือนายกฯใหม่ “ฮุน มาเน็ต” ขยายความร่วมมือการค้า การท่องเที่ยว การลงทุน การพัฒนาพื้นที่ชายแดน
วางโปรแกรมยาวเดินสายพบผู้นำต่างประเทศ เจรจาภาคธุรกิจ เรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนมาลงทุนในประเทศไทย คู่ขนานกับการตะลอนพบประชาชนทุกพื้นที่ ไม่เกี่ยงจะเป็นจังหวัดที่มี สส.เพื่อไทยหรือไม่
แม้กระทั่งการประกาศไม่ขอรับเงินเดือน-เบี้ยประชุมนายกฯและ รมว.คลัง 125,590 บาทต่อเดือน บริจาคทุกบาทเข้ามูลนิธิต่างๆเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง
ถือโอกาสโชว์หล่อ ตีปี๊บเรียกภาพลักษณ์ทำงานเพื่อประชาชนอีกทางอาศัยทั้งลูกขยันและปั่นกระแสการตลาดช่วยทำคะแนน เน้นแก้ปัญหาปากท้อง ลดค่าครองชีพเป็นลำดับแรก มุ่งไปที่การคิกออฟมาตรการประชานิยม “ลดแลกแจกแถม” รายสัปดาห์
เนื้องานที่เห็นผลเป็นรูปธรรมทันทีทันใด อาทิ การหั่นค่าไฟฟ้า การตรึงราคาน้ำมันดีเซล พักหนี้เกษตรกร 2.7 ล้านคน กวาดคะแนนจากประชาชนทุกกลุ่ม
ตรงกันข้ามกับโปรเจกต์จุดขายสำคัญอย่างนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต แจกเงินเข้ากระเป๋าประชาชน 10,000 บาท ที่ ณ วันนี้ ยังดูเงียบเชียบ ไม่คืบหน้าเป็นรูปธรรมเท่าที่ควร
ไม่มีความชัดเจนถึงที่มางบประมาณ 5.6 แสนล้านบาท จะนำมาจากไหน แม้แต่กระทั่งจะไปล็อกคอธนาคารออมสินปล่อยกู้เม็ดเงินมหาศาลอย่างที่พรรคก้าวไกลดักคอ รัฐบาลก็ไม่กล้าปฏิเสธแบบเต็มปากเต็มคำ
โครงการประชานิยมตัวพ่อที่แบกความหวังคนไทยทั้งประเทศ แต่ดันไปเจอขั้นตอนยุ่บยั่บระบบวินัยการเงินการคลังของทางราชการ ไม่หมูเหมือนขั้นตอนการทำงานภาคเอกชนที่นายเศรษฐาคุ้นเคย
ไฟต์บังคับต้องเดินสุดซอย ถึงจะช้าแต่ต้องชัวร์ เดิมพันอำนาจของรัฐบาล ขืนทำแล้วไม่ตรงปก ต้นทุนอาจยิ่งติดลบหนักกว่าเก่า!!!
